โรคลึกลับ CFS (5) ยาแก้และวิธีแก้
CFS ย่อมาจาก Chronic fatigue syndrome “โครนิค ฟาทีคซินโดรม” หมายถึง โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง ซึ่งมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทำงานในช่วงอายุ 25-45 ปี สาเหตุการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีผลมาจากระบบประสาทที่ทำงานผิดปกติเนื่องจากขาดสารอาหารที่จำเป็น และพฤติกรรมผิดๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ, การรับประทานน้ำตาลมากเกินความจำเป็นของร่างกาย, การดื่มสุรา หรือแม้แต่ความเคร่งเครียด มากเกินไป ก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน
อาการของโรค
ผู้ป่วยจะมีอาการอาการนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวนง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซึมเศร้า ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดกล้ามเนื้อและปวดตามข้อ ระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะผิดปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ตลอดเวลา
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป และไม่ควรเติมน้ำตาลเพิ่มในอาหาร รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันมากเกินไปด้วย
2. ทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ไม่ควรเครียดมากเกินไปหาเวลาผ่อนคลายบ้าง และควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองในขณะที่นอนหลับ
3. บริโภคอาหารที่มีโปรตีน เนื่องจากการขาดโปรตีนจะส่งผลให้เหนื่อยล้า หดหู่ และอ่อนเพลียมากขึ้น
4. ทานวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี และวิตามินซี เนื่องจากการขาดวิตามิน บี จะทำให้นอนไม่หลับ ซึม เฉื่อยชา ไม่มีสมาธิ ส่วนวิตามินซี จะช่วยให้ ร่างกายมีความสดชื่น แจ่มใจ ซึ่งเป็นสารอาหารที่สามารถทำให้อารมณ์ดีได้
5. บริโภคอาหารที่ธาตุเหล็กและแมกนีเซียม ซึ่งการขาดธาตุเหล็กและแมกนีเซียมจะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน ทำให้เกิดอาการหดหู่ หมดแรง อยากร้องไห้ ไม่มีสมาธิได้
และอาหารนั้นก็คือ การจัดสูตรอาหารให้ได้ คาร์โบไฮเดรตสูง แต่โปรตีนตํ่า
ขอให้ลองพิจารณาดูสูตรอาหารชีวจิต ซึ่งได้วางไว้แบบกลางๆ สำหรับคนทั่วๆ ไป คือ แป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรตปริมาณ 50% ของอาหารหนึ่งมื้อ ผักปริมาณ 25% โปรตีน 15% และเบ็ดเตล็ด 10%
จะเห็นว่าแป้งปริมาณ 50% แปลว่าเวลาเรากินอาหารหนึ่งมื้อนั้น อาหารหลักคือ แป้ง เช่น ข้าวนั้น มีปริมาณถึงครึ่งหนึ่ง ของอาหารทั้งหมด และปริมาณโปรตีนนั้น เราใช้โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ปริมาณเพียง 15% ในปริมาณโปรตีน 15% นี้เรากินเนื้อสัตว์ แต่เพียงปลา ได้อาทิตย์ละหนึ่ง หรือสองครั้ง และปริมาณปลาหนึ่งหรือสองครั้งนี้ ก็ประมาณครั้งละ 200 กรัม
ซึ่งถ้าหากดูปริมาณกะกันง่ายๆ ปลานั้น คุณลองเทียบกับฝ่ามือของคุณ ก็จะประมาณครึ่งฝ่ามือ หรือ 5 นิ้ว ๚ 3 นิ้ว หนา 1/2 นิ้ว โดยประมาณ
ถ้าจะกะกันง่ายๆ แบบนี้ จะเห็นได้ทันทีว่าข้าว (คาร์โบไฮเดรต) ค่อนข้างเยอะ และโปรตีน (ถั่วและปลา) ค่อนข้างน้อย
โปรดอ่านทวนใหม่ของตอนนี้ตั้งแต่ต้น แล้วอ่านช้าๆ นะครับ เพื่อความเข้าใจจริงๆ ให้ได้ โดยเฉพาะ ท่านที่ส่งคำถามมา และท่านที่ไปถามผมที่ ที่เรารำตะบองกัน ที่สวนรถไฟ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
ที่ผมต้องยํ้าเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเราจะใช้อาหารให้เป็นยา ก็ต้องใช้ให้ถูก ไม่ใช่เห็นว่า เป็นเรื่องง่ายๆ แล้วก็ทำไป โดยไม่สนใจว่า รายละเอียด จะถูกต้องหรือไม่
และต้องขอยํ้าอีกครั้งหนึ่งตรงนี้ว่า ข้าวที่กินนั้น ต้องเป็น ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง หรือข้าวกล้อง ส่วนโปรตีนนั้น เอาถั่วเหลืองเป็นหลักไว้ก่อน ปลาก็ขอเป็นปลาทะเล แต่ระวังเลือกปลาให้สะอาด ชนิดที่ไม่ได้แช่ ฟอร์มาลิน
ข้าวขาวถึงแม้ว่าคุณจะติดใจเพียงไหน ก็ขอให้งดไว้ก่อน เพราะข้าวขาว แป้งขาว และพวกหวานๆ นั่นแหละ คือสาเหตุเบื้องต้นของ CFS
นี่คือสูตรข้อที่หนึ่งในการแก้ CFS คือสูตรคาร์โบไฮเดรตสูง และโปรตีนตํ่า
ต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบจากตัวอย่างคนไข้ ของนายแพทย์บิลส์ เกรย์ ซึ่งได้เคยเอ่ยถึงมา เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
นายแพทย์บิลส์ เกรย์ ได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดในการรักษา ตอนแรกๆ ว่าเขาทำตามรายงานของ ศาสตราจารย์ซีล ฮาร์ลิส ซึ่งเขียนรายงานไว้ตั้งแต่ปี 1927 ว่า CFS นั่นต้นเหตุมาจาก เรื่องอาหาร วิธีแก้ จึงควรแก้ที่อาหาร เขาจึงเข้าใจว่า CFS อาจจะเกี่ยวกับโรค ขาดสารอาหาร
เขาจึงรักษาคนไข้ด้วยการให้อาหารชนิดโปรตีนสูง (เนื้อ นม ไข่) และให้ลดอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต หรือ พวกแป้งลง ขนาดที่เกือบจะเรียกได้ว่า ไม่ให้กินเลย
เขาพูดถึงคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่เต็มที่ อายุ 30 ปี มีอาชีพเป็นคนขับรถบรรทุก ว่ากันที่จริง หนุ่มเต็มที่ อายุขนาดนี้ ต้องถือว่าเป็นหนุ่มแข็งแรง ที่น่าจะเป็นคนมีสุขภาพ ดีที่สุด
แต่ปรากฏว่า คนไข้ผู้นี้มีอาการแปลกๆ มากมาย โดยเฉพาะอาการเพลีย โดยไม่มีสาเหตุ และ การปวดหัว ปวดเนื้อ ปวดตัว นอนไม่หลับนั้น มีอาการหนักมาก ไปตรวจตามคลินิก และแพทย์ เฉพาะทางต่างๆ ก็หาสาเหตุไม่พบ แพทย์จะบอกว่า เขาปกติไม่มีโรคภัย ไข้เจ็บใดๆ เลย
ที่คลินิกของบิลส์ เกรย์ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารหลายคน เพื่อนคนหนึ่ง เป็นผู้ดูแลนักกีฬา ซึ่งอาหาร ที่แพทย์ผู้นั้นให้ จะเป็นอาหารประเภท โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรต หรือแป้งตํ่า ตอนแรก คนไข้ผู้นี้ รักษาอยู่กับเพื่อนร่วมคลินิก ของบิลส์ เกรย์
คนไข้ได้รับคำสั่งให้ใช้โปรตีนสูง ทั้งนี้เพราะเขาเป็นคนทำงานหนัก คือขับรถบรรทุก ทั้งวันทั้งคืน แพทย์จึงให้อาหาร เนื้อ นม ไข่มาก
ตอนแรกคนไข้จะรู้สึกว่ามีแรงดี แต่พอเขาเริ่มทำงานหามรุ่งหามคํ่าเมื่อไหร่ อาการของเขา ก็จะทรุดลงทันที และเมื่อทรุดลงแล้ว ก็ฟื้นยาก คืออยู่ในสภาพลุกไม่ขึ้น และผลสุดท้าย ทำงานไม่ได้ ต้องหยุดงาน
เพื่อนแพทย์จึงส่งคนไข้มาหา บิลส์ เกรย์ และ บิลส์ เกรย์ ค่อนข้างจะแน่ใจว่าคนไข้เป็น CFS แน่นอน เขาจึงส่งคนไข้ ไปตรวจ G.T.T.
G.T.T.ย่อมาจาก GLUCOSE TOLE-RANCE TEST นั่นคือต้องเจาะเลือด ตรวจดูนํ้าตาลในเลือด ทุกครึ่งชั่วโมง คนไข้ต้องอยู่ในห้องแล็บ เพื่อตรวจเลือดถึง 5 ชั่วโมง
ผลของการตรวจปรากฏว่า เขาเป็น HYPOGLYCEMIA หรือ CFS แน่นอน และเมื่อบิลส์ เกรย์ ตรวจดูอาหาร แบบเก่าๆ ที่คนไข้ผู้นี้ได้รับ จากแพทย์ร่วมคลินิกของเขา บิลส์ เกรย์ ก็ประหลาดใจมาก เพราะเขาเห็นด้วย กับเพื่อนของเขาว่า คนไข้ควรจะได้รับ อาหารโปรตีนสูง และ คาร์โบไฮเดรตตํ่า
ปรากฏว่า เมื่อคนไข้ไม่ดีขึ้น แพทย์ก็สั่งให้ลดอาหารลง แต่ก็ยังเป็นโปรตีนสูงอย่างเดิม ปรากฏว่าไม่ดีขึ้น
คนไข้รับอาหารโปรตีนสูงต่อไปถึง 8 เดือน พอถึงเดือนที่ 9 คนไข้เริ่มเป็นหวัดเรื้อรัง เขาเป็นหวัดอยู่ถึง 3 เดือน ก็ยังไม่หาย และรู้สึกเหมือน กำลังจะตาย
บิลส์ เกรย์ จึงสั่งเปลี่ยนอาหารทันที เขาเชื่อว่าคนไข้ป่วยมากขึ้น เพราะอาหารโปรตีนสูง เขาจึงให้คนไข้ งดอาหารโปรตีนสูงทันที หลังจากนั้น ให้ดื่มนํ้าและกินผัก กินซุปอย่างเดียว
ขั้นต่อมา ให้คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติวันละ 3 มื้อ ทุกวัน อาหารครั้งหลังนี้เป็น คาร์โบไฮเดรตสูง และ โปรตีนตํ่า
เพียง 3 วัน อาการของเขาก็ดีขึ้นทันที และทั้งๆ ที่ยังไม่หมดโปรแกรมรักษา และกลับเข้าไปทำงาน ได้ตามเดิม วิ่งออกกำลังวันละ 10 กม. และเข้าเรียนคาราเต้ อาทิตย์ละ 3 วัน เขาหายขาดจาก CFS
นั่นคือสูตรที่หนึ่ง คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนตํ่า
ต่อไปเป็นสูตรเพิ่มเติม จากของผมเอง คือสูตรที่สอง ขอให้ทำนํ้าอาร์ซี ดื่มทุก 2 ชั่วโมง ทุกวัน
สูตรที่ 3 ขอให้เพิ่มวิตามินดังนี้
1. วิตามิน A. C. D. E. อย่างละ 1 เม็ด ต่อวัน
2. วิตามิน B1 B6 B12 และ B COMPLEX อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน
สูตรที่ 4 ขอให้ทำดีท็อกซ์ วันเว้นวัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์
ทำตามสูตรนี้ไปก่อนนะครับ ทำช้าๆ ใจเย็นๆ ให้เวลาตัวคุณเองสัก 1 เดือน อย่าลืมว่า คุณเป็น CFS มานานแล้ว ต้องใช้เวลาหน่อย ที่จะแก้ไขตัวคุณเอง.
ไทยรัฐ ๗ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต