พลังงานแม่เหล็กบำบัดโรค
แม่เหล็กไฟฟ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเราเกือบจะทุกเรื่อง เพราะว่า..ตัวคนเราอยู่ในห้วงของพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในธรรมชาติอยู่แล้วก็ได้แก่ สนามแม่เหล็กโลก สนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์
ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ได้แก่คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นโทรศัพท์ รวมไปถึงสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นกับระบบไฟฟ้า สนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าบางชนิดเป็นอันตรายกับมนุษย์ แต่บางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็มีประโยชน์ต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับด้านสุขภาพร่างกายและการบำบัดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งก็มีการแพร่หลายออกมามากมาย อาทิ เก้าอี้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่วิจัยกันออกมาว่า..ช่วยการนอนหลับ ช่วยปรับระดับไขมันในเลือด รวมทั้งที่นอนแม่เหล็กบำบัดโรค กำไลข้อมือ เข็มขัดรัดเอวแม่เหล็กที่ช่วยรักษาอาการปวดข้อ ปวดหลัง
พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งการที่จะให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียด
คลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อบำบัดโรคนั้น มีเรื่องเล่าของชาวกรีกบอกว่า..เด็กเลี้ยงแกะชื่อ Magnes ในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่ พบว่าตะปูเหล็กที่ตอกติดพื้นรองเท้าของเขา ถูกก้อนหินใหญ่ดึงให้ติดแน่นอยู่กับที่ จนเขาต้องออกแรงดึงมหาศาล จึงจะสามารถก้าวเท้าออกมาจากก้อนหินนั้นได้ และนี่ก็คือที่มาของการค้นพบแม่เหล็ก ซึ่งถูกเรียกชื่อว่า Magnetตามชื่อของเขา ต่อมาเขาได้กะเทาะเอาชิ้นส่วนของก้อนหินแม่เหล็กที่เขาพบ ติดเข้าไว้กับรองเท้า ซึ่งช่วยให้เขาเดินทางระยะไกลๆได้โดยไม่ทันรู้สึกเหน็ดเหนื่อย นั่นเป็นประโยชน์ประการแรกของแม่เหล็กต่อสุขภาพ แต่เนื่องจากเขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เรื่องราวในภายหลังว่าด้วยอิทธิพลของแม่เหล็กต่อสุขภาพทั้งหลาย เมื่อถูกเปิดเผยออกไป จึงไม่ค่อยมีใครเชื่อ เหมือนกับการได้ยินเรื่องราวจากปากของเด็กเลี้ยงแกะ นั่นเอง
วัฒนธรรมของจีน อียิปต์ อินเดีย อราเบีย ฮิบรู ล้วนแต่ได้กล่าวถึงการใช้แม่เหล็กรักษาโรค ตำนานกล่าวว่าพระนางคลีโอพัตราทรงแสวงหาหนทางความอ่อนเยาว์ ด้วยการใช้ชิ้นแม่เหล็กติดไว้กลางหน้าผากตลอดเวลาที่พระนางเข้าบรรทม อริสโตเติลได้เขียนไว้ตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาลเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแม่เหล็กรักษาโรค
ในศตวรรษที่ 3 แพทย์ชื่อกาเลน ได้ใช้แม่เหล็กรักษาอาการท้องผูกและอาการปวดต่างๆ พอถึงศตรวรรษที่ 4 ปรัชญาเมธีชาวฝรั่งเศสแนะนำการสวมสร้อยคอแม่เหล็กเพื่อรักษาอาการปวดหัว
ในศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่ 9 แพทย์อิสลามชื่อ อะวิเซนนา รายงานเรื่องการรักษาโรคซึมเศร้าด้วยแม่เหล็ก .ในขณะที่แพทย์ชาวเปอร์เซียผู้หนึ่งก็รักษาโรคเก๊าต์และกล้ามเนื้อเกร็งตัวด้วยแม่เหล็ก
ในปีค.ศ.1000 นักธรณีวิทยาชาวจีนได้ระบุถึงอิทธิพลของสนามแม่เหล็กโลกที่มีต่อสุขภาพของคน เรา
การรักษาโรคด้วยแม่เหล็กจะมีผลต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้แม่เหล็กขั้วเหนือหรือขั้วใต้ ราชแพทยาลัยของฝรั่งเศสให้การยอมรับการรักษาโรคด้วยแม่เหล็กของเลอโนเบิล และระบุว่าแม่เหล็กน่าจะมีบทบาทอย่างมากต่อการแพทย์ในอนาคต โดยได้กล่าวคาดการณ์เอาไว้
จนในปัจจุบันความก้าวหน้าของเครื่อง MRI ก็ใช้แม่เหล็กตรวจอวัยวะภายในของคนเราออกมาให้เห็นทีละแว่นๆได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามคนที่ระบุเรื่องแม่เหล็กกับคนเราด้วยทรรศนะที่กว้างไกล กลับเป็นนักดาราศาสตร์ชื่อ เมสเมอร์ เขาบอกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกของเรามีคลื่นแม่เหล็กบางๆส่งทอดถึงกัน และสนามพลังดังกล่าวนี้เอง ส่งผลต่อระบบประสาทและพลังชีวิตในตัวของคนเรา เขารักษาหญิงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคลมชักโดยวางแม่เหล็กบนร่างกายของเธอบาง แห่ง สมมติฐานของเขาก็คือ หญิงผู้นี้ถูกอิทธิพลของคลื่นแม่เหล็กโลกทำให้ระบบประสาทและสมองของเธอเสียสมดุลไป ดังนั้นถ้าเอาชิ้นแม่เหล็กไปวางบนตัวเธอ แม่เหล็กน่าจะช่วยปรับคลื่นของประสาทเธอให้กลับสู่สมดุลได้ เขาจึงเอาชิ้นแม่เหล็กวางลงบนหน้าท้องและหน้าเธอของผู้ป่วย
ทันทีที่วางลงเธอรู้สึกถึงความเจ็บป่วยแผ่ซ่านจากปลายเท้าขึ้นมาตลอดลำขาและช่องท้องของเธอ เธออยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 6 ชั่วโมง แล้วอาการปวดจึงอันตรธานหายไปพร้อมกับอาการชักกระตุก หมดสติ
การรักษานอกจากชิ้นแม่เหล็กแล้ว เขายังใช้มือลูบวนไปรอบๆเหนือตัวผู้ป่วยด้วย เขาเรียกอากัปกิริยานั้นว่า 'การโคจรพลังแม่เหล็ก' และบ่อยครั้งที่เขาพบว่า วิธีการโคจรพลังแม่เหล็กที่เขาทำอยู่ มีผลในการบำบัดรักษาดีพอๆกับการใช้แม่เหล็กจริงเสียด้วย
|