สถิติ
เปิดเมื่อ19/10/2011
อัพเดท17/03/2024
ผู้เข้าชม5516044
แสดงหน้า7746514
สินค้า
บทความ
ทางเดินอาหาร
16 วิธีป้องกันท้องอืด จากโรคกรดไหลย้อนกลับ (GERD)
ภาวะกรดไหลย้อน
นม GTF
โรคลึกลับ CFS (Chronic fatigue syndrome หรือโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง ) ยาแก้และวิธีแก้
อันเนื่องมาจากความหวาน อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ (ตอนที่ 4)
อันเนื่องมาจากความหวาน อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ(ตอนที่ 3)
อันเนื่องมากจากความหวาน อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ (ตอนที่ 2)
อันเนื่องมาจากความหวาน ระวัง! อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุอย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็ก(ตอนที่ 1)
การอนุญาตและการจดทะเบียนในประเะทศต่างๆ
สิทธิบัตรของนม GTF
สิทธิบัตรของนม GTF
นม GTF กับรูปร่างและผิวพรรณ
โรงพยาบาลที่ใช้ ผลิตภัณฑ์ GTF
รางวัลต่างๆ ของนม GTF
การวิจัยและพัฒนานม GTF
ทำไมคนรุ่นใหม่...ขาดสารอาหาร
คำแนะนำการบริโภคนม GTF
รายละเอียดนม GTF
ประโยชน์ที่ได้รับจากนม GTF
VDO ประสบการณ์ผู้ใช้ GTF
VDO รายละเอียด GTF ตอนที่ 1-5
นม GT&F ช่วยให้คุณควบคุมโรคเบาหวาน ได้อย่างไร..
ทำไมต้องนม GTF
มะเร็ง
ถั่วเหลืองกับมะเร็งเต้านม
การฟื้นฟูร่างกายหลังได้รับเคมีบำบัด
วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 3
วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 2
วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 1
วิธีป้องกันการติดเชื้อระหว่างเคมีบำบัด
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
สารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) คืออะไร?
แอสตาแซนธิน : การลดความเมื่อยล้าของดวงตา
แอสตาแซนธิน : ความทนทานและการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ
แอสตาแซนธิน : สารต้านอนุมูลอิสระที่เหนือกว่า
“Astaxanthin” คืออะไร?
ผิวหนัง
ตำแหน่งสิวบอกอารมณ์และโรคได้
วิธีปราบสิว
โรคสะเก็ดเงินหรือโรคเรื้อนกวาง ( Psoriasis )
โรคผิวหนังอักเสบ (ECZEMA)
สิว และวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับ สิว เบื้องต้น
บทความทั่วไป
10 ความจริงเกี่ยวกับตัวเรา... ที่คุณอาจไม่รู้
เคล็ดลับในการกินอาหารเสริม
NCD : โรควิถีชีวิต (Non – communicable Diseases - NCD)
NCD : โรควิถีชีวิต (Non – communicable Diseases - NCD)
5 ผลวิจัย พิชิตความเครียด
10 การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรค…
พลังงานแม่เหล็กบำบัดโรค
เตือน “กินน้ำตาลเกินจำเป็น” โอกาสเกิดโรคแทรกง่ายขึ้น
18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย
การเสียชีวิตของนักกีฬาในสนามแข่งขัน
รู้ได้อย่างไรว่า...อ้วนลงพุง หรือ เป็น Metabolic syndrome
ไม่ขับถ่ายตอนเช้าจะเกิดอะไรขึ้น
การเลือกรับประทานอาหารเสริม วิตามิน และเกลือแร่
อาหารเสริม Co-Enzyme Q10 โคเอ็นไซม์ คิวเท็น คืออะไร
วิธีป้องกัน อาการภูมิแพ้
กินยาแก้อักเสบ (ยาปฏิชีวนะ) บ่อยๆ ทำให้เชื้อโรคดื้อยา รักษาไม่หาย
แครนเบอรรี่ Cranberry
การกอด มหัศจรรย์แห่งสัมผัส
โรคภูมิแพ้
อันตรายจากบุหรี่ และตัวช่วยล้างพิษจากบุหรี่
วิธีการดื่มน้ำที่ถูกวิธี
Bell Stem Cell Activator, 60 caps
เมลาโตนิน (Melatonin)
นาฬิกาชีวภาพ นาฬิกาชีวิต
กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด ที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้
อาหารธัญพืชปรุงพิเศษ
เบาหวาน
เรื่องหวานๆ กับยาเบาหวาน
ความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยเบาหวาน
ภัยเงียบ....โรคหัวใจในผู้เป็นเบาหวาน
เลือดหนืดในโรคเบาหวาน
เลือดข้นกับโรคหัวใจ
เบาหวาน
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน
ทางเดินปัสสาวะ
Share โรคไตวายเรื้อรัง Chronic renal failure (CRF)
สาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) อาการของโรค และวิธีรักษา
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ Urinary tract infections (UTI)
สมองและระบบประสาท
โคลีน
โคลีน ไบทาร์เทรต (Choline Bitartrate)
ใบบัวบก (Gotu Kola)
DMEA
cavinton หรือ vinpocetine
Neuro-ps บำรุงสมอง เพิ่มความจำ ลดความเครียด ช่วยเรื่องการนอนหลับ
ถาม-ตอบ เกี่ยวกับการใช้ Neuro-PS
Neuro-PS บำรุงสมอง,เสริมความจำ ลดความเครียด
บทความจากต่างประเทศ
How To Decrease Inflammation‏
Alzheimer’s on the Rise: What You Can Do
ปฎิทิน
March 2024
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
     
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
      
สมาชิก

สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

เรื่องหวานๆ กับยาเบาหวาน

อ่าน 7951 | ตอบ 1

ในบรรดาโรคภัยต่างๆ นั้น โรคไหนจะหวานเกินไปกว่าโรค “เบาหวาน” จริงไหมครับ ฉบับนี้เราจึงมาว่ากันด้วยเรื่องยาที่ใช้ในการรักษาเบาหวาน โดยคิดว่าท่านผู้อ่านน่าจะพอทราบเกี่ยวกับเรื่องโรคกันอยู่พอควรแล้ว เราขอเอาใจผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นพิเศษเลยครับ

ทำความรู้จักกับโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus : DM)

ในภาวะปกติ เมื่อเรารับประทานอาหารจำพวกแป้ง ร่างกายจะมีการย่อยต่อไปเป็นน้ำตาล และดูดซึมไปใช้เป็นพลังงาน โดยจะมีฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ที่สร้างจากกลุ่มเซลล์เบต้าเซลล์ที่อยู่ในตับอ่อน เป็นตัวควบคุมการนำน้ำตาลเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีการทำงานของกลุ่มเซลล์เบต้าเซลล์ในตับอ่อนที่ลดลง ทำให้เกิดภาวะขาดฮอร์โมนอินซูลิน เรียกว่า “เบาหวานชนิดที่ 1 (Type I DM)” หรือร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) คือร่างกายผลิตอินซูลินตามปกติ แต่การตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินลดลง ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เรียกว่า “เบาหวานชนิดที่ 2 (Type II DM)” หรือบางคนอาจพบทั้งสองภาวะเลยก็ได้ โดยหลังจากงดอาหารเพื่อเจาะวัดน้ำตาลในเลือดได้มากกว่า 126 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน

ยาที่ใช้ในโรคเบาหวาน

หลังจากทำความรู้จักเบาหวานทั้ง 2 ชนิดแล้ว คราวนี้มาทำความรู้จักกับยาที่ใช้กันบ้างครับ โดยการออกฤทธิ์ของยาย่อมจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของโรคที่เป็น

1. ยาฉีดอินซูลิน (Insulins) ทำหน้าที่ทดแทนอินซูลินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้ โดยเป็นอินซูลินที่สังเคราะห์ขึ้น หรือได้จากการดัดแปลงโครงสร้างของอินซูลินที่ได้จากสัตว์ เพื่อให้มีการออกฤทธิ์ที่ใกล้เคียงอินซูลินปกติของมนุษย์ และมีการออกฤทธิ์ในระยะเวลาที่เหมาะสม นานเพียงพอสำหรับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยอินซูลินมีหลายชนิด ตามแต่ช่วงการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงของผู้ป่วยแต่ละคน เช่น น้ำตาลสูงหลังมื้ออาหาร ระหว่างมื้ออาหาร หรือชนิดที่ออกฤทธิ์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ตลอดวัน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป

เดิมมีการใช้อินซูลินสำหรับทดแทนในโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มีการขาดอินซูลินเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการศึกษาว่าการใช้อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานชนิด 2 ร่วมกับยารับประทานก็จะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น การฉีดยาจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความรุนแรงของโรคเบาหวานเสมอไป แต่กลับช่วยให้ควบคุมโรคได้มากขึ้น

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ยาฉีดอินซูลิน คือ การใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ปรับขนาดยาเองโดยไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์ และใช้ในเวลาที่แพทย์ระบุ เช่น ตามเวลานาฬิกา หรือตามมื้อและปริมาณของอาหารที่ทาน เพราะยาฉีดชนิดนี้จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ผู้ป่วยและญาติควรต้องศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขภาวะนี้เตรียมไว้เสมอด้วย

2. ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas) ยากลุ่มนี้จะกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ต้องรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาที เพื่อให้ยาดูดซึมและออกฤทธิ์ทันพอดีกับมื้ออาหารที่รับประทานเข้าไป จะเห็นว่าอาการข้างเคียงคือ การเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนการฉีดยาอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยควรรับประทานยาและอาหารให้ตรงเวลา ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อที่รับประทานยานี้

ตัวอย่างยา เช่น Glibenclamide, Glipizide, Gliclazide, Glimepiride ยาบางตัวจะมีรูปแบบที่ค่อยๆ ให้ตัวยาออกมาจากเม็ดยาทีละน้อย (Modified-release) ดังนั้นต้องรับประทานทั้งเม็ด ห้ามบดเคี้ยวหรือหักแบ่งเม็ดยา เพราะจะทำให้ยาออกมาครั้งเดียวหมด ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ และยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียนี้ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยาซัลฟา (Sulfonamides) ด้วย

3. ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase Inhibitors) ยากลุ่มนี้จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ในร่างกายที่ใช้ในการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล เมื่อรับประทานยาในกลุ่มนี้จึงทำให้การย่อยและการดูดซึมน้ำตาลช้าลงด้วย เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดจึงควรรับประทานพร้อมอาหารคำแรก โดยการเคี้ยวเพื่อให้ยาสัมผัสกับอาหารได้มากที่สุดนั่นเอง ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Acarbose, Voglibose เป็นต้น

เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลสูงหลังมื้ออาหาร สามารถใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่นๆ เพื่อเสริมฤทธิ์ ยานี้ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้เช่นกันแต่พบน้อย อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ อาการท้องอืด ผายลมบ่อย เนื่องจากแป้งที่ดูดซึมไม่หมดตกค้างอยู่ในทางเดินอาหารนั่นเอง

4. ยากลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanides) ยากลุ่มนี้จะลดการสร้างน้ำตาลจากตับ ทำให้อินซูลินทำงานที่ตับได้ดีขึ้น โดยจะไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือสามารถลดลงได้บ้าง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก และยาจะไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลงด้วย เพราะไม่ได้กระตุ้นการหลั่งอินซูลินโดยตรง

ยาในกลุ่มนี้ที่ใช้กันมากมีเพียงตัวเดียว คือ Metformin โดยอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ มวนท้อง คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ซึ่งสามารถลดลงได้โดยการรับประทานยาหลังอาหารทันที และต้องได้รับการตรวจการทำงานของตับและไตจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

5. ยากลุ่มกลิทาโซน (Glitazones) ยากลุ่มนี้ที่เหลือใช้กันมีเพียงตัวเดียว คือ Pioglitazone ยาจะทำงานโดยไปลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ทำให้การออกฤทธิ์ของอินซูลินที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายดีขึ้น ลดการหลั่งกลูโคสจากตับ และลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้ด้วย

ข้อเสียของยาคือ ทำให้เกิดการบวมน้ำเนื่องจากร่างกายเก็บน้ำมากขึ้น ต้องมีการตรวจการทำงานของตับในช่วงที่ใช้ยา ยานี้ไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และสามารถทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้

6. ยากลุ่มกลิปทิน (Gliptins) ยากลุ่มนี้เป็นยาลดน้ำตาลแบบรับประทานกลุ่มใหม่ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ซึ่งจะไปทำลายฮอร์โมนอินคริติน (Incretin) ในลำไส้ ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร โดยตัวหลักคือ GLP-1 โดยปกติอินคริตินจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลินและลดการหลั่งกลูคากอน ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ยานี้จะทำงานเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่านั้น จึงไม่ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวอย่างยาเช่น Vildagliptin, Sitagliptin, Saxagliptin

7. ยาฉีดที่ไม่ใช่อินซูลิน สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้หลังจากใช้ยารับประทานอย่างเต็มที่แล้ว ในปัจจุบันมีการสังเคราะห์สารเลียนแบบ GLP-1 ตามธรรมชาติ (GLP-1 Analog) โดยฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ซึ่งยากลุ่มใหม่นี้จะมีข้อดีในการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มขึ้น และไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แล้วยังมีผลดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ชะลอการเสื่อมของเบต้าเซลล์ในตับอ่อนได้ด้วย อาการข้างเคียงที่สำคัญ คือ คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง เบื่ออาหาร โดยจะพบในช่วงแรกๆ ของการใช้ยา และห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ออาการเกิดมะเร็งของต่อมไทรอยด์ซึ่งต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาเท่านั้น ตัวอย่างยา เช่น Exenatide, Liraglutide

ข้อควรปฏิบัติในการรักษาโรคเบาหวาน

  1. ไม่ปรับขนาดยาเอง เว้นแต่ได้รับคำสั่งจากแพทย์ผู้รักษา
  2. ไม่เปลี่ยนยาด้วยตนเอง เพราะแพทย์จะเป็นผู้เลือกยาให้เข้ากับภาวะเบาหวาน การทำงานของตับและไต และโรคอื่นๆ ที่คุณเป็นร่วมอยู่ด้วย
  3. ไม่รับประทานยาของผู้อื่น หรือแบ่งยาให้ผู้อื่น เพราะภาวะโรคที่เป็นไม่เหมือนกัน ระดับน้ำตาลที่ไม่เท่ากัน อาจทำให้เกิดอันตรายรุนแรงได้
  4. รับประทานยาหรือใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อชะลอการดำเนินไปของโรคเบาหวาน
  5. นอกเหนือจากยาเบาหวาน ควรรับประทานยาเพื่อรักษาโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะทำให้ทุกๆ โรคดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน
  6. การติดตามตรวจวัดระดับน้ำตาลด้วยตนเองที่บ้านเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถปรึกษาวิธีการตรวจได้จากแพทย์ผู้รักษา และติดตามระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ทุกๆ 3 เดือน
  7. ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่ออ่านเรื่องยาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แล้ว หวังว่าจะมีความเข้าใจมากขึ้น และสามารถใช้ยาตามที่แพทย์สั่งได้ถูกต้อง และต้องไม่ลืมพบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เบาหวานขึ้นตา เบาหวานเข้าไต โรคหัวใจและหลอดเลือด จะได้ใช้ชีวิตหวานๆ ร่วมกับโรคเบาหวานอย่างมีความสุขครับ

ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :
 

ตรวจสอบสถานะ การจัดส่งของที่สั่ง ทางไปรษณีย์ แบบพัสดุ ลงทะเบียน และ EMS http://track.thailandpost.co.th/