ภาวะกรดไหลย้อน
คุณเคยรู้สึกเจ็บแสบแถวหน้าอกมั้ย โดยเฉพาะหลังกินอาหาร หรือขณะนอน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดปกติที่เกิดกับระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหน้าอกและคอหอย กว่า3 ใน 4 ของผู้ป่วยภาวะนี้จะมีอาการส่วนใหญ่ในขณะนอนตอนกลางคืน ทำให้ผู้ป่วยทรมานได้ไม่น้อยกว่าอาการปวดแน่นหน้าอกที่เกิดจากโรคหัวใจเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้อาการที่ปวดรุนแรงไม่ได้หมายถึงความรุนแรงของโรค หรืออันตรายที่เกิดขึ้นมากขึ้นด้วย นอกจากอาการหลักๆดังกล่าวแล้ว อาจพบอาการบางอย่างร่วมกัน เช่น รู้สึกแน่นท้อง วิงเวียน อยากอาเจียนหลังจากกินอาหาร รู้สึกเหมือนมีอะไรค้างอยู่ในลำคอและอยากจะเอาออกมา เจ็บคอมาก ไอแห้งๆ
ก่อนที่จะพูดถึงสาเหตุหรือกลไกของภาวะกรดไหลย้อนกลับ ขออธิบายคร่าวๆถึงสรีระตั้งแต่ช่องปากลงไปถึงลำไส้ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารจะผ่านช่องปากลงไปที่หลอดอาหารซึ่งเป็นท่อตรง ลงไปยังกระเพาะอาหารซึ่งมีสภาพเป็นกรด ( กระเพาะอาหารจะทำหน้าที่ย่อยอาหารพวกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์) ทั้งนี้ที่ปลายหลอดอาหารที่เชื่อมต่อกับกระเพาะอาหาร จะมีลักษณะเป็นหูรูด หลังจากนั้นอาหารก็จะผ่านไปยังลำไส้เล็กซึ่งมีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวซึ่งขดกันอยู่ในช่องท้องเพื่อย่อยอาหารอีกครั้ง แล้วอาหารที่ย่อยเสร็จจึงเดินทางไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย สำหรับภาวะกรดไหลย้อนกลับแล้ว กรดจะไหลย้อนกลับขึ้นมาจากกระเพาะไปยังหลอดอาหาร และในบางครั้งก็ผ่านมายังช่องปาก ซึ่งสวนทางกับทิศทางของอาหารเมื่อเรารับประทาน
สาเหตุของภาวะกรดไหลย้อนกลับ
1. กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณตอนท้ายของหลอดอาหารทำงานผิดปกติ ทำให้กรดไหลย้อนกลับจากกระเพาะขึ้นไปที่หลอดอาหาร
2. กล้ามเนื้อของกระเพาะอาหารบีบตัวช้ากว่าปกติ ทำให้อาหารเคลื่อนตัวช้ากว่าปกติ ดังนั้นกรดจึงมีโอกาสที่จะไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะมากกว่าปกติ
3. หอบหืด กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นหอบหืดมักมีภาวะกรดไหลย้อนกลับ เนื่องจากอาการไอหรือจามในขณะที่เป็นหอบหืดนั้นจะทำให้ความดันบริเวณช่องอกเปลี่ยนไป กระตุ้นให้กรดไหลย้อนกลับได้ง่าย
การรักษาโดยการกินยาช่วยลดกรดในกระเพาะนั้นไม่ไช่วิธีที่ถูกต้องเพราะเมื่อกรดในกระเพาะลดลง ย่อมกระทบต่อประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ยาpropulsid เป็นยาที่เคยใช้รักษาภาวะกรดไหลย้อน แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้วเนื่องจากเป็นอันตราย ถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นวิธีทางธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัยกว่า
ภาวะกรดไหลย้อนกับวิธีธรรมชาติ
1. กระเทียม เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย เช่น เชื้อ H. Pyloris ที่แม้แต่กรดในกระเพาะอาหารก็ไม่สามารถทำลายเชื้อชนิดนี้ได้ และกระเทียมยังช่วยปรับสมดุลของเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต่อร่างกายที่อาศัยอยู่ในลำไส้อีกด้วย แต่ทั้งนี้กระเทียมที่กินต้องเป็นกระเทียมที่ผ่านการบด หรือตำ หรือเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่ใช่การกลืนทั้งกลีบ เพื่อให้สารอัลลิซินในกระเทียมสามารถสัมผัสกับทางเดินอาหารโดยตรง (คุณสามารถผสมกระเทียมลงไปคั้นพร้อมกับน้ำผัก-ผลไม้อย่างอื่นก็ได้)
2. ควรกินอาหารประเภทprobiotic (ซึ่งหมายถึงอาหารที่มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และจุลินทรีย์เหล่านั้นยังมีชีวิต ได้แก่ โยเกิร์ต คีเฟอร์ เป็นต้น) เป็นประจำ
3. ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยลดความเข้มข้นของกรด สังเกตได้จากสีของปัสสาวะจะเป็นสีค่อนข้างใส ไม่เป็นเป็นสีเหลืองเข้ม
4. การวิจัยพบว่าการดื่มชาคาร์โมมายด์สามารถลดอาการของภาวะกรดไหลย้อนได้ แต่ยังไม่สามารถอธิบายกลไกที่ชัดเจนได้
5. งดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดเหนือกระเพาะคลายตัว กรดจึงโอกาสไหลย้อนกลับมากขึ้น
6. หลีกเลี่ยงการดื่มการดื่มสุรา เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น
7. อย่ากินอาหารตอนดึก โดยเฉพาะ 3 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะทุกครั้งที่กินอาหาร กรดจะหลั่งออกมาจากกระเพาะเพิ่มขึ้น และเมื่อนอน จะเพิ่มความเสี่ยงให้กรดไหลย้อนกลับ นอกจากนี้หลังกินอาหารเสร็จทุกครั้งไม่ควรเข้านอนทันที
8. การนอนโดยศีรษะสูงขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกรดไหลย้อนได้เนื่องจากแรงดึงดูดโลกจะดึงให้กรดจากกระเพาะไม่ให้ไหลขึ้นมา
9. ในรายที่มีน้ำหนักเกินหรือคนอ้วน จะมีโอกาสที่จะเกิดกรดไหลย้อนกลับขณะนอนมากกว่าคนปกติ ดังนั้นการลดในน้ำหนักในผู้ที่ภาวะกรดไหลย้อนจะช่วยลดอาการต่างๆได้
จาก
http://www.goodhealth.co.th/new_page_123.htm
สนใจผลิตภัณฑ์ช่วยอาการกรดไหลย้อน ดูเพิ่มเติมได้ที่
http://goodproduct.net/product/detail-19255.html
http://goodproduct.net/product/detail-45065.html